วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

สโนไวท์


           กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าหญิงแสนสวยผู้น่ารักนามว่า สโนว์ไวท์ ผู้อาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงของเธอ ราชินีผู้งดงามแต่ไร้สาระ

           ราชินีไม่อยากให้มีใครผู้ใดมางดงามกว่าตน นางจึงให้สโนว์ไวท์ใส่ผ้าขี้ริ้ว และให้นางทำกับข้าว, ปัดกวาดเช็ดถู และตักน้ำจากบ่อ เสมือนกับนางเป็นคนรับใช้

           แต่ละวัน ราชินีจะเฝ้าคอยถามวิญญาณของกระจกวิเศษว่า "กระจกวิเศษ จงบอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี?"

           และทุกๆ วัน กระจกก็จะตอบว่า "ท่านสิคือผู้ที่งามเลิศในปฐพี"

           แต่วันหนึ่งกระจกก็บอกว่า "แต่ช้าก่อน สาวใช้แสนน่ารักที่ข้าเห็นนั้น อนิจจาดูนางจะงดงามกว่าท่านนะ"



            "อนิจจา น่าสงสารนางจริงๆ!" ราชินีร้องอย่างโกรธจัด "เอ๋ยชื่อนางมา"
            "ริมฝีปากสีแดง ดั่งกุหลาบ, เส้นผมดำเงา ดั่งไม้มะเกลือ, ผิวกายขาว ดั่งหิมะ..." "สโนว์ไวท!" ราชินีอ้าปากค้าง

            ขณะเดียวกัน สโนว์ไวท์อยู่ที่ลานบ้านกำลังขัดถูขั้นบันได เมื่อเธอเอนพิงบ่อน้ำเพื่อตักน้ำเพิ่ม เธอก็ร้องเพลงให้กับนกพิราบแถวๆ นั้นฟัง เธอบอกกับพวกมันว่าบ่อน้ำนั้นเป็นบ่อน้ำแห่งอธิษฐาน



            แล้วสโนไวท์ก็มองลงไปในบ่อน้ำพร้อมกับอธิษฐาน-ขอให้นางพบกับรักแท้

           ทันใดนั้น เธอก็เห็นเงาสะท้อนของหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง เธอมองขึ้นและเห็นเจ้าชายผู้หล่อเหลา

           "โอ้!" เธอร้อง และวิ่งเข้าไปในปราสาท

           เจ้าชายได้ยินเสียงร้องเพลง และได้พบกับสโนว์ไวท์ เขาได้เพียรพยายามค้นหาผู้ที่เขาสามารถจะรักได้ และเขาก็พบกับเธอ


             "ข้าทำให้เจ้ากลัวเหรอ?" ชายหนุ่มเรียก
             "ช้าก่อน-ได้โปรดอย่าวิ่งหนีไปไหน" เข้าเริ่มร้องเพลงให้กับเธอฟัง

              สโนว์ไวท์ค่อยๆ เดินออกมาที่ระเบียงเล็กๆ เพื่อฟัง ด้วยหัวใจของนางเต้นอย่างแรง ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว! เธอจูบนกพิราบที่บินลงไปให้จูบเธอกับชายแปลกหน้า สโนว์ไวท์ไม่ได้รู้เลยว่าราชินีกำลังดูอยู่

             เมื่อราชินีได้เห็นชายหนุ่ม และได้ยินคำพูดพร่ำถึงความรักที่มีต่อสโนว์ไวท์ นางรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางงตัดสินใจที่จะกำจัดสโนว์ไวท์เสีย ครั้งเดียวและตลอดไป






            "ข้าจะต้องหาสโนว์ไวท์ด้วยตนเอง" นางผสมยาเสน่ห์หลายสูตรเข้าด้วยกันเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหญิงชราผู้น่าเกลียด



            ตอนนี้เริ่มเวทมนตร์คาถามของท่านได้แล้ว!"

            เสียงของราชินีเปลี่ยนเป็นหัวเราะเสียงดังแหลม ผมของนางกลายเป็นสีขาว มืออันงดงามของนางหดเป็นเหมือนกรงเล็บ และใบหน้าของนางก็มีริ้วรอยเหี่ยวย่นและหูดเล็กๆ ขึ้นเต็มไปหมด

            "ฮา ฮา ฮา!" นางหัวเราะเสียงดังแหลม" ช่างเป็นการปลอมตัวที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!"

            นางเดินกะโผลกกะเผลกไปที่หนังสือเวทมนตร์คาถามของนางแล้วเลือกคำสาป "โอม! แอ๊ปเปิ้ลพิษ! หลับตา!" นางหัวเราะเสียงดังแหลม



            "แต่ช้าก่อน-มันอาจจะมียาถอนพิษก็ได้ ไม่ควรจะมองข้ามอะไรไป โอ! อยู่ที่นี่เอง" นางร้อง "เหยื่อของการหลับตายจะฟื้นคืนสติได้ต่อเมื่อได้รับจูบแรกของรักแท้เท่านั้น จูบแรกของรักแท้เหรอ? เชอะ! ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย!"

            หญิงแก่ผู้น่าเกลียดจุ่มแอ๊ปเปิ้ลลงไปในยาพิษที่ต้มไว้ นางดึงผลไม้สีแดงที่เปล่งประกายออกมา และสอดเข้าไปในตะกร้า

            ในกระท่อม สโนว์ไวท์และคนแคระทั้งเจ็ดกำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่



             ร้องเพลงอย่างสุดหรรษาขณะที่คนแคระคนอื่นๆ ก็เล่นเครื่องดนตรีประกอบไปด้วย โดปปี้ยืนอยู่บนไหล่ของสนีซซี่เพื่อที่ว่าเขาจะได้สูงพอๆ ที่จะเต้นรำกับสโนว์ไวท์ได้ ทุกอย่างกำลังไปได้สวยจนสนีซซี่รู้สึกว่าจมูกของเขาเริ่มกระตุกถี่ๆ "ฮะ-ฮะ-ฮะ-ฮาดดดดเช้ยยยย!"

             เช้าวันต่อมา คนแคระทั้งเจ็ดออกไปทำงาน "ตอนนี้อย่าลืมล่ะ ที่รัก ราชินีแก่ผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยม" พวกเขาพูด "เพราะฉะนั้นระวังคนแปลกหน้าด้วยนะ"
          
             "ฉันไม่เป็นไรจ๊ะ" สโนว์ไวท์พูดอย่างอิ่มเอม และเธอก็จูบโดปปี้ และคนอื่นๆ บนหัวก่อนพวกเขาออกไป



             ราชินีผู้ชั่วร้ายรีบเข้าป่าไป และหยุดเมื่อนางถึงลานที่โล่ง นางได้ยินเสียงอันไพเราะของสโนว์ไวท์ที่กำลังร้องเพลงอยู่ภายในกระท่อมขณะที่เธอทำงานบ้าน
             "อะฮ้า!" ราชินีพูด "เจ้าพวกคนแคระจะออกไปและเธอก็จะอยู่ลำพัง...."



              ราชินีขึ้นไปที่หน้าต่างของกระท่อม และเห็นสโนว์ไวท์กำลังทำงานอยู่ในครัว
              "ทำพายอยู่เหรอ?" หญิงชราพูดด้วยเสียงต่ำ "อยากจะลองชิมแอ๊ปเปิ้ลของฉันมั้ย?" และนางก็ดึงเอาแอ๊ปเปิ้ลพิษออกมา

             สโนว์ไวท์ทั้งประหลาดใจและกลัวนิดหน่อย บรรดาฝูงนกรู้ถึงอันตราย และบินมาที่หญิงชรา พยายามที่จะขับไล่นางออกไป

อธิษฐานตอนนี้สิ...แล้วค่อยกัดคำหนึ่ง"



              สโนว์ไวท์หยิบแอ๊ปเปิ้ลไป หลับตาลง อธิษฐานขอให้เจ้าชายหาเธอพบและกัดหนึ่งคำใหญ่

              ถึงตอนนี้ บรรดาสัตว์ต่างๆ ก็ไปถึงเหมือง พวกมันทั้งจิกทั้งดันคนแคระทั้งเจ็ดแต่พวกหนุ่มน้อยไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามีอะไรผิดปกติ จนสสุดท้าย สลีปปี้พูดว่า "หรือว่าราชินีเฒ่าจะจับสโนว์ไวท์ได้แล้ว!"

              "โอ้ ฉันรู้สึกแปลกๆ!" สโนว์ไวท์อ้าปากค้าง กลับเข้าไปที่กระท่อม ราชินีผู้ชั่วร้ายมองดูอย่างหระตือรือร้น สโนว์ไวท์หายใจลึกๆ เข้าเฮือกหนึ่ง แล้วก็ล้มลงบนพื้น แอ๊ปเปิ้ลพิษกลิ้งออกไป


              "ฮา ฮา!" หญิงแก่หัวเราะเสียงต่ำ "เธอจะยังหายใจอยู่-เลือดของเธอจะหนาขึ้น ตอนนี้ข้าจะได้เป็นผู่ที่งดงามที่สุดบนผืนแผ่นดินนี้"

              คนแคระทั้งเจ็ดมาถึงลานโล่ง ในขณะที่หญิงแก่ผู้อัปลักษณ์หายกลับเข้าไปในป่า
              คนแคระทั้งเจ็ดถลาเข้าหาราชินีอย่างรวดเร็ว ฟ้าผ่าลงมาและฝนกระหน่ำตก ราชินีเริ่มปีนหุบเขาหิน "นั่น นางอยู่นั่น! ตามไปเลย!" กรัมปี้ร้อง



               ราชินีปีนป่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายนางไปถึงยอดหน้าผาซึ่งไปไกลกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว "ข้าจะหักกระดูกพวกเจ้าซะ!" นางพูดด้วยเสียงแหลมพลางคว้ากิ่งไม้แห้ง นางพยายามที่จะผลักหินก้อนใหญ่ใส่คนแคระทั้งเจ็ด


                ทันใดนั้น แสงแปลบปลาบของฟ้าผ่าก็ผ่าลงมาตรงแนวหินที่ยื่นออกมาจากหน้าผา มันแตกและร่วงลง...ลง...ไปในด้านล่างสุดของหุบเขา ทำให้ราชินีถึงแก่ความตาย

                คนแคระทั้งเจ็ดกลับมาที่กระท่อมก็พบ สโนว์ไวท์นอนสลบอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่าจะตายแล้ว เธอดูช่างงดงามยิ่งนัก จนทำให้พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจฝังนาง ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างโลงสีทองและวางเอาไว้ในป่าแทน ทุกๆ วันพวกเขาจะนำดอกไม้ไปให้เธอ และบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนเธอ

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

ไกรทอง

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดพิจิตรซึ่งมีถ้ำอยู่ในแม่น้ำแห่งหนึ่งและถ้ำนั้นก็เป็นถ้ำของจระเข้กล่าวกันว่าในถ้ำมีลูกแก้ววิเศษซึ่งส่องประกายแวววาวทำให้บริเวณถ้ำนั้นสว่างไสวอยู่เป็นนิตย์ ดุจเวลากลางวันเลยทีเดียว เมื่ออยู่ในถ้ำจระเข้ทุกตัวก็จะกลายร่างเป็นร่างเป็นมนุษย์ได้และจะไม่รู้สึกหิวอะไรเลย ภายในถ้ำมีพญาจระเข้ผู้เฒ่าอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า ท้าวรำไพ เป็นราชาแห่งจระเข้ที่ไม่ยอมกินสิ่งมีชีวิตและบำเพ็ญตนถือศีลมาเป็นเวลานาน จระเข้ผู้เฒ่านี้มีบุตรอยู่ตัวหนึ่งชื่อว่า ท้าวโคจร และท้าวโคจรเองก็มีบุตรตัวหนึ่งชื่อว่า ชาละวัน ในเวลาต่อมาท้าวโคจรเกิดทะเลาะวิวาทกับพญาจระเข้ด้วยกันชื่อ ท้าวพันตาและพญาพันวัง ทั้งสามต่อสู้กัน เพื่อชิงความเป็นใหญ่น้ำแต่ผลปรากฏว่า ทั้งสามต้องมาจบชีวิตลงจากบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้กันนั้น
ดังนั้นพญาชาลาวัน จึงได้ครอบครองความเป็นใหญ่ในถ้ำโดยไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจหลังจากนั้นก็ได้นางจระเข้สองตัวเป็นภรรยา คือ นางวิมาลา และนางเลื่อมลายวรรณ โดยธรรมชาติของสัตว์กินเนื้อ ถึงแม้ว่ามันจะกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ก็ตามที พญาชาละวันก็ยังมีนิสัยดุร้าย และชอบกินเนื้อมนุษย์ไม่เหมือนกับจระเข้ที่เป็นปู่ของตน พญาจระเข้ตัวใหม่นี้ไม่รักษาศีลแต่อย่างใด
วันหนึ่ง พญาชาละวันออกมาจากถ้ำเพื่อหาเนื้อมนุษย์กินเป็นอาหาร ได้ว่ายตามน้ำมาจนถึงท่าน้ำเมืองพิจิตรเวลานั้นสองสาวพี่น้องคือ ตะเภาแก้วและตะเภาทอง บุตรสาวของเจ้าเมืองพิจิตรกำลังลงเล่นน้ำอยู่ในแม่น้ำหน้าบ้านของตนอยู่พอดี สองพี่น้องห้อมล้อมด้วยบ่าวไพร่หลายคน วันมาก มันเกิดความรักในมนุษย์ขึ้นมาในทันที เจ้าสัตว์ร้ายเปลี่ยนใจทันที จากความต้องการที่จะกิจเนื้อเหยื่อกลับกลายเป็นรักเหยื่อดังนั้นมันจึงว่ายน้ำตรงรี่เข้าไปหาหญิงสาวแล้วคาบนางไว้ท่ามกลางความตกตะลึงของบ่าวไพร่ ชาละวันคาบหญิงสาวผู้ไร้เดียงสาไปสู่ถ้ำของตนในทันที
ในขณะที่ถูกคาบอยู่ในปากตะเภาทองสลบไสลไม่ได้สติ ชาละวันทำการแก้ไขจนกระทั่งนางฟื้น ครั้นลืมตาขึ้นนางก็ต้องตกใจที่ได้พบกับถ้ำอันวิจิตรตระการตายิ่งนัก เมื่อนางเห็นชาละวันผู้ซึ่งตอนนี้ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว นางก็รู้สึกขวยเขินที่ได้เห็นชายหนุ่มรูปงาม ฝ่ายชาละวันก็จัดการเกี้ยวพาราสีนางจนกระทั่งนางหลงรักและตกเป็นภรรยาคนที่สามของชาละวันไป และนับจากนั้นมาก็เริ่มมีการทะเลาะวิวาทในระหว่างภรรยาทั้งสามของชาละวันอยู่เป็นประจำ
ในขณะเดียวกัน หลังจากได้ทราบข่าวที่ทำให้ตกตะลึงนี้แล้ว เจ้าเมืองพิจิตรก็เกิดวิตกกังวลเป็นอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกสาวตน และแค้นเคืองเจ้าสัตว์ร้าย เพื่อกำจัดเจ้าจระเข้ร้ายเสีย ท่านเจ้าเมืองจึงป่าวประกาศว่าผู้ใดก็ตามสามารถสังหารจระเข้ได้และสามารถนำลูกสาวของตนกลับมาในขณะมีชีวิต จะได้แต่งงานกับนางและได้ส่วนแบ่งในทรัพย์สมบัติของตน
ขณะนั้นมีชายหนุ่มวัยแตกพานอายุ 18 ปี อยู่คนหนึ่งชื่อว่า “ไกรทอง” เป็นชาวจังหวัดนนทบุรีได้คุมเรือไปทำการค้าขายอยู่ที่เมืองพิจิตร และได้ถือโอกาสเล่าเรียนวิชาอาคมกับอาจารย์ที่นั่นเขามีความชำนาญในการปราบจระเข้และสามารถระเบิดน้ำเป็นทางเดินเข้าไปได้
เมื่อไกรทองรู้ข่าวการประกาศให้รางวัล เขาก็อาสาปราบจระเข้โดยไม่รีรอ ก่อนอื่นเขาไปพบอาจารย์และเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับการพจญภัยในครั้งนี้ อาจารย์ของเขาจึงได้ทำการตรวจดู ดวงชะตาราศีและตรวจดูฤกษ์ยามเห็นว่าไกรทองจะต้องมีชัยชนะในการพิชิตจระเข้ร้ายได้อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากจระเข้ร้ายมีเขี้ยวแก้ว จึงไม่มีอาวุธใดที่จะระคายผิวของมันได้ อาจารย์จึงได้มอบของวิเศษ 3 อย่างให้ไกรทองไปซึ่งก็ได้แก่ เทียนชัย ใช้จุดระเบิดน้ำเป็นทางเดินไปจนถึงที่หมาย มีดหมอลงอาคม และหอกสัตตะโลหะ พร้อมให้พรให้ไกรทองประสบชัยชนะ
ฝ่ายชาละวันหลังจากได้ตะเภาทองเป็นภรรยาคนที่สามแล้ว คืนวันหนึ่งได้ฝันว่าเกิดมีไฟไหม้ขึ้น และ มีเทวดาผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ใช้พระขรรค์ตัดคอตนขาดกระเด็น หลังจากตื่นขึ้นก็ตกใจรีบไปปรึกษาปู่ของตน คือท้าวรำไพผู้ซึ่งรู้ได้ทันทีว่าหลานของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงสั่งให้ชาละวันจำศีลอยู่ในถ้ำเป็นเวลา 7 วัน เพราะถ้าเขาขืนออกไปก็จะต้องประสบกับอันตรายอย่างแน่แท้ ชาละวันเกิดความกลัวจึงสั่งให้บริวารจระเข้นำหินมาปิดปากถ้ำไว้อย่างแน่นหนา และเริ่มถือศีลตามคำแนะนำของจระเข้ผู้เป็นปู่
ในขณะเดียวกันหลังจากกล่าวลาผู้เป็นอาจารย์แล้ว ไกรทองก็ต่อแพลอยลงน้ำและประกอบพิธีเรียกราชาแห่งจระเข้มาต่อสู้กัน ชาวบ้านที่อยากดูเหตุการณ์เมื่อรู้ข่าวการล่าพญาจระเข้ทั้งอยู่ใกล้ไกลก็แห่กันมาดูเหตุการณ์อยู่บนฝั่งแม่น้ำอย่างใจจดใจจ่อและถึงแม้ว่าพญาชาละวันจะพยายามปกป้องชีวิตของตนอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถหนีโชคชะตาไปได้ ดังนั้นพิธีของไกรทองจึงทำให้ชาละวันรู้สึกเร้าร้อนเหมือนถูกไฟเผา เมื่อสุดจะทนไหวแล้วชาละวันก็ลืมคำสั่งของผู้เป็นปู่เสียสนิท พญาชาละวันจึงแผลงฤทธิ์พังประตูถ้ำออกมาแล้วโผล่ขึ้นเหนือน้ำกลายเป็นจระเข้ใหญ่น่ากลัว แม่น้ำที่สงบเงียบก็ปั่นป่วยด้วยฤทธิ์ของสัตว์ร้าย ทันทีที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันก็เกิดการต่อสู้กันชุลมุนท้ายที่สุดไกรทองก็แทงสัตว์ร้ายเข้าที่ใต้ราวนมด้วยหอกสัตตะโลหะทันใดนั้นทั่วทั้งลำน้ำก็กลับกลายเป็นสีแดงฉานพร้อมทั้งกลิ่นคาวเลือด เพื่อปกป้องชีวิตของตนไว้ พญาชาละวันจึงหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้น้ำ แต่ว่าไกรทองไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้นเขาตามคู่ต่อสู้ลงไปในถ้ำ โดยจุดเทียนชัยระเบิดน้ำเป็นทางลงไปใต้น้ำ
เมื่อเข้าไปในถ้ำไกรทองเห็นวิมาลา ภรรยาของชาละวันก็แกล้งทำเป็นเข้าไปลวนลามเพื่อให้นางส่ง เสียงจะได้ยั่วให้สัตว์ร้ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บออกมาที่ซ่อน ชาละวันเองเข้าไปหาปู่ของตนเพื่อให้ช่วยรักษาบาดแผลให้ แต่ว่าจระเข้เฒ่าไม่สามารถจะช่วยอะไรได้เพราะชาละวันไม่รักษาสัญญาที่ให้ไว้ เสียงหวีดร้องของภรรยาทำให้เจ้าสัตว์ร้ายเดือดดาลยิ่งนักถึงกับออกมาจากที่ซ่อนแต่ก็มาถูกแทงตายอยู่ตรงนั้นเอง ไกรทองสามารถช่วยตะเภาทองออกมาได้และนำนางขึ้นสู่เหนือผิวน้ำท่ามกลางเสียงโห่ร้องฝูงชน
ด้วยความดีใจอย่างสุดซึ้ง ท่านเจ้าเมืองพิจิตรจึงมอบรางวัลให้ไกรทองตามสัญญาพร้อมกับยกลูกสาว อีกคนหนึ่งคือตะเภาแก้วให้เป็นภรรยาของไกรทองด้วย ดังนั้นไกรทองจึงได้สองพี่น้องเป็นภรรยาพร้อมกับสมบัติอีกส่วนหนึ่งจากท่านเจ้าเมือง ทั้งสามจึงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองพิจิตรอย่างมีความสุข และเรื่องไกรทองนี้ก็นำมาเล่าสู่กันฟังซ้ำอีกทั่วทั้งประเทศ

สโนไวท์

กาลครั้งหนึ่งในดินแดนสุดมหัศจรรย์ ยังมีองค์หญิงน้อยแสนงามผู้มีผมดำดุจไม้มะเกลือ ริมฝีปากแดงดั่งกุหลาบและมีผิวขาวผ่องดังหิมะ เธอคือสโนไวท์ ผู้ที่รู้จักเธอล้วนรักเธอเว้นแต่ราชินีแม่เลี้ยงใจร้ายผู้ริษยาในความงามของเธอสโนไวท์อาศัยอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ที่มีน้ำตกเจ็ดชั้นและภูเขาอัญมณีเจ็ดลูกที่ภายในมีอัญมณีเลอค่ามากมาย ภูเขาที่อยู่ห่างไกลที่สุดเป็นที่ตั้งของปราสาทที่สโนไวท์เติบโตมาภายใต้อำนาจของราชินี
ถึงแม่ว่าความปรารถนาที่จะมีรักแสนหวานของเธอจะดูเป็นไปไม่ได้แต่ความรักก็สามารถหาทางของมันได้เสมอแม้ว่าเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งก็ยังไม่สามารถห้ามให้เจ้าชายหลงรักสโนไวท์ได้
ราชินีเกรงว่าสักวันสโนไวท์จะเติบโตและงดงามกว่าพระนาง ด้วยเหตุนี้พระนางจึงใช้ให้สโนไวท์ทำงานหนักดั่งทาส และเมื่อกระจกวิเศษเผยแก่ราชินีว่าสโนไวท์งดงามกว่าพระนาง ชีวิตของสโนไวท์ก็ตกอยู่ในอันตราย จนกระทั่งเธอได้พบเพื่อนตัวเล็กๆทั้งเจ็ดคนที่ช่วยเหลือเธอไว้
สโนไวท์วิ่งหนีใปในป่ามืด ดูเหมือนว่าต้นไม้เกิดมีชีวิตและพยายามจะฉุดรั้งสโนไวท์เอาไว้ เธอเหนื่อยล่าและหวาดกลัวจนกระทั่งหมดแรงและล้มลงกลางป่า แล้วสิ่งที่ทำให้เธอมีชีวิตชีวาอีกครั้งก็คือเสียงเพลงและรอยยิ้ม
และก็ดูเหมือนว่าโชคของเธอยังจะดีอยู่มาก เมื่อเธอบังเอิญไปเจอ บ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่งเข้า ทุกอย่างที่อยู่ในบ้านหลังนั้นดูเหมือน จะเล็กเกินไปสำหรับเธอเสียสิ้น ทั้งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ทั้งโต๊ะอาหารที่ทำจากไม้สักสวยงามกลางห้อง ทั้งเตียงเจ็ดหลัง ด้วยความเหนื่อยจากการเดิน ทางบวกกับความหิว ไม่นานสโนไวท์ก็ผลอยหลับไป ครั้นตกเย็นเจ้าของบ้านร่างเล็กทั้งเจ็ดก็กลับมา พวกเขาคือคนแคระทั้งเจ็ด คนงานเหมืองทองและเงิน แห่งหุบเขาใกล้ ๆ นั่นเอง…พวกเขาทั้งหลายต่างก็ตกใจ และแปลกใจกับแขกผู้แปลกหน้าที่มาเยือนอย่างไม่รู้ตัวครั้งนี้กันมาก
ต่อมาสโนไวท์ก็อาศัยอยู่กับคนแคระทั้งเจ็ด และระหว่างที่สโนไวท์กำลังทำกูซเบอร์รี่พายของโปรดของเหล่าคนแคระ แม่ค้าเร่ก็เข้ามาคะยั้นคะยอเธอให้ทำแอปเปิ้ลพายด้วยลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือนาง และเมื่อสโนไวท์อธิษฐานต่อแอปเปิ้ลเธอกัดมันและสลบลงไปนอนกองกับพื้นทันที!
สโนไวท์ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับเห็นเจ้าชายรูปงามและเหล่าคนแคระรายล้อม เจ้าชายพาเธอขี่ม้าไปที่ปราสาทของเขาและทั้งคู่ก็อย่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดกาล

หมู3ตัว

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีแม่หมู กับลูกหมูพี่น้อง 3 ตัว อาศัยอยู่ในที่แห่งหนึ่ง... ลูกหมูตัวโตสุดซึ่งเป็นพี่ใหญ่นั้น เป็นหมูที่ออกที่จะเกียจคร้านเป็นอย่างมาก แล้วก็มักที่จะชอบไปแอบหาที่หลบหลับนอนอยู่ตลอดเวลา ลูกหมูตัวที่สองซึ่งเป็นน้องหมูตัวกลางก็เป็น หมูที่ตะกละเป็นที่สุด จะไม่ชอบทำงาน แม้เวลาทำงานก็จะหาเรื่องพักแล้วกินอาหาร ที่แอบพกเอาติดตัวมาด้วยอยู่เสมอ ๆ แต่ว่าลูกหมูตัวที่สามนั้น เป็นหมูที่ขยันขันแข็ง และชอบทำงาน เป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่า น้องหมูตัวสุดท้องจะเป็นหมูที่ขยันขันแข็งทำงานเป็นอย่างมากอย่างไรก็ตามที... แต่อาหารที่หามาได้นั้นก็ต้องหมดลงไปอย่างรวดเร็วในไม่ช้า ด้วยเป็นเพราะว่า ที่บ้านของเขานั้นมีหมูที่ขี้เกียจกับหมูที่ชอบกินอยู่ตั้งสองตัวนั่นเอง วันหนึ่ง แม่หมูได้พูดขึ้นว่า " ตอนนี้พวกเธอก็โตกันขึ้นมามากแล้ว ถึงเวลา ที่จะต้องแยกย้ายกันออกไปสร้างบ้านเป็นของตัวเองอยู่ที่ข้างนอก..." น้องหมูตัวสุดท้องเมื่อได้ฟังแม่หมูพูดว่าอย่างนั้น ก็ให้เป็นเกิดมีความปิติยินดีขึ้นมาอย่างมาก " เราจะสร้างบ้านของเราแบบไหน แล้วเอาอะไรมาสร้างเป็นบ้านดีนะ??"
พี่หมูตัวโตตัวขี้เกียจ เมื่อได้ยินแม่หมูพูดมาว่าเช่นนั้นก็พูดบ่นขึ้นทันที ด้วยเพราะไม่ค่อยชอบที่จะทำงานอยู่แล้วนั่นเอง...ก็เลยโดนแม่หมูดุเอาให้ว่า
" อย่ามามัวบ่นอยู่อย่างนั้นสิ...รีบ ๆ ออกไปจัดการสร้างบ้านเป็นของตัวเองเดียวนี้เลย.." พี่หมูตัวโตจึงจำใจที่จะต้องออกไปสร้างบ้านแต่ก็ด้วยอย่างไม่ค่อยที่จะเต็มใจสักเท่าใดนัก... " อู๊ด อู๊ด..มันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อรำคาญเป็นอย่างมาก...แต่ว่าถ้าเป็นบ้านที่ทำด้วยฟางล่ะ.. ใช่สิ เราก็สามารถที่สร้างมันขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ และรวดเร็วอีกเสียด้วย.." " เอก อี้ เอก ๆ " รุ่งเช้า..หมูพี่ ๆ ทั้งสองตัวได้มาหาน้องหมูตัวสุดท้อง และได้ชวนกันกลับมาที่บ้านของตน แม่หมูได้พูดว่า " พวกเจ้าทั้งสามเก่งและ ทำได้ดีมาก...ดังนั้นต่อแต่นี้ไปพวกเจ้าก็จงออกไปอาศัยหากินกันเองได้แล้ว " เมื่อได้ยินแม่หมูพูดพี่หมูทั้งสองตัวก็พูดบ่นขึ้นมาอีกว่า " ไม่เอาหละ... น่าเบื่อจะตาย แล้วข้าก็เหนื่อยแล้วด้วย"แม่หมูให้เป็นเบื่อหนาระอาใจ กับพี่หมูทั้งสองตัวเป็นอย่างที่สุด !
ในขณะที่ลูกหมูทั้งสามกำลังเดินทางกลับไปที่บ้านของพวกตนอยู่นั้น พลันก็ได้ มีหมาป่าตัวหนึ่งที่เดินดมกลิ่นหาเหยื่ออยู่ในป่าแถว ๆ นั้นเดินผ่านมา และได้แอบเห็น เจ้าหมาป่ารีบสะกดรอยติดตามหลังไปติดๆ
" ดีจัง มีลูกหมูน่าอร่อยตั้งหลายตัวแน่ะ...เราจะกินตัวไหนก่อนดีนะ.." เมื่อลูกหมูทั้งสามตัวเดินทางแยกย้ายกันกลับไปที่บ้านตามลำดับแล้ว ซึ่งแน่นอนที่เจ้าหมาป่าก็ได้สะกดรอยติดตามไปติด ๆเหมือนกัน มันพูดว่า " ข้าจะต้องกิน อ้ายหมูตัวที่ขี้เกียจที่สุด ที่สร้างบ้านด้วยฟางนั่นแหละก่อนอื่นใดเลยล่ะ "